รอบรู้เรื่องภาษี ASN Finance แชร์ตัวช่วยลดหย่อนภาษีปี 2567

news

 

วาระยิ่งใหญ่แห่งปีกำลังจะกลับมาอีกครั้ง!

       หลายคนคงวางแผน Check List สิ่งที่ต้องทำให้เสร็จสมบูรณ์ก่อนหมดปี และมีแพลนสำหรับสิ่งที่อยากทำให้สำเร็จในปีหน้ากันบ้างแล้ว ASN Finacne มาแนะนำอีกหนึ่งหน้าที่ที่หลายคนอาจมองข้ามไป นั่นก็คือ การยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปี  2566 ภายในวันที่ 31 มีนาคม. 2567 ได้ที่สำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขาทุกแห่ง  หรือจะยื่นภาษีแบบออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ของกรมสรรพากร www.rd.go.th ก็ได้เช่นกัน ซึ่งจะขยายเวลาไปจนถึงวันที่ 8 เม.ย. 2567

        การยื่นภาษี เป็นหน้าที่ที่เราในฐานะคนไทยต้องรับผิดชอบหากมีเงินเดือนตั้งแต่ 120,000 บาทต่อปี หรือมีรายได้ประเภทอื่นตั้งแต่ 60,000 บาทต่อปี สามารถเข้าไปเช็กวิธีคำนวนภาษีได้ในบทความ รอบรู้เรื่องภาษี ฐานเงินเดือนเท่านี้จ่ายภาษีเท่าไหร่? กันได้ สำหรับใครที่คำนวนรายได้รวมทั้งปี 2566 พร้อมเสียภาษีในปี 2567 แล้ว อย่าลืมว่ามีวิธีลดหย่อนภาษี เพื่อขอคืนเงินกลับมาที่ตัวเราได้อีกด้วย จะมีวิธีไหนบ้าง  ASN Finance รวบรวมมาให้แล้วในบทความนี้ ไปดูพร้อม ๆ กันเลย!

 

การลดหย่อนภาษีครอบครัว และภาษีส่วนตัว

1.ค่าลดหย่อนส่วนตัว
      หักค่าลดหย่อนได้ 60,000 บาท สามารถนำมาลดหย่อนได้ทันที 

2.ค่าลดหย่อนคู่สมรส
     หักค่าลดหย่อนได้ 60,000 บาท กรณีที่คู่สมรสไม่มีรายได้ จดทะเบียนสมรสถูกต้องตามกฎหมาย หากคู่สมรสมีรายได้ต้องพิจารณาว่า ต้องการยื่นรายได้รวมกันหรือแยกกัน

3.ค่าลดหย่อนบุตร แบ่งเป็น 3 ประเภท ดังนี้
1. บุตรชอบด้วยกฎหมาย  มีอายุไม่เกิน 20 ปี หรืออายุ 21-25 ปีที่กำลังศึกษากำลังศึกษาในระดับอนุปริญญา (ปวส.) ขึ้นไป
      - บุตรที่เกิดก่อนปี 2561 หักค่าลดหย่อนได้คนละ 30,000 บาท
      - บุตรที่เกิดหลังปี 2561 คนแรกหักค่าลดหย่อนได้ 30,000 บาท คนที่ 2 เป็นต้นไปหักค่าลดหย่อนภาษีได้คนละ 60,000 บาท
      - ใช้ลดหย่อนได้ตามจำนวนบุตรจริง
      - บุตรที่นำมาใช้สิทธิจะต้องมีรายได้น้อยกว่า 30,000 บาท/ปี
2.บุตรบุญธรรม ต้องจดทะเบียนรับบุตรบุญธรรมถูกต้องตามกฎหมาย
      - หักค่าลดหย่อนได้คนละ 30,000 บาท สูงสุดไม่เกิน 3 คน
      - หากมีบุตรชอบด้วยกฎหมายด้วย จะต้องใช้และนับสิทธิก่อน หากใช้ครบแล้ว 3 คน จะไม่สามารถใช้สิทธิบุตรบุญธรรมได้อีก
      - บุตรบุญธรรมที่นำมาใช้สิทธิจะต้องมีรายได้น้อยกว่า 30,000 บาท/ปี

3. ค่าลดหย่อนฝากครรภ์และค่าคลอดบุตร
      หักได้ตามจริงที่จ่ายให้สถานพยาบาลของรัฐหรือเอกชน สูงสุดไม่เกิน 60,000 บาท/การตั้งครรภ์ หากเป็นครรภ์ฝาแฝดจะนับเป็น 1 การตั้งครรภ์

4.ค่าลดหย่อนอุปการะเลี้ยงดูบิดามารดา มีรายละเอียดดังนี้
      - หักค่าลดหย่อนได้คนละ 30,000 บาท
      - สามารถหักลดหย่อนได้ทั้งของตนเองและของคู่สมรส รวมสูงสุด 4 คน
      - บิดา มารดาที่นำมาใช้สิทธิ ต้องมีอายุมากกว่า 60 ปี และต้องมีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาท
      - ในกรณีครอบครัวนั้นมีบุตรหลายคน พี่น้องจะสามารถนำบิดา มารดา ไปใช้สิทธิหักค่าลดหย่อนได้เพียงคนเดียวเท่านั้น ไม่สามารถนำไปลดหย่อนภาษีซ้ำได้
      - บุตรบุญธรรม ไม่สามารถนำบิดา มารดา ที่เป็นผู้รับบุตรบุญธรรมมาลดหย่อนได้

5.ค่าลดหย่อนอุปการะเลี้ยงดูคนพิการ หรือคนทุพพลภาพ
      - หักค่าลดหย่อนได้คนละ 60,000 บาท
      - ผู้พิการจะต้องมีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาท/ปี ต้องมีบัตรประจำตัวผู้พิการ และต้องมีหนังสือรับรองการเป็นผู้อุปการะของผู้มีรายได้
      - ในกรณีที่ผู้พิการหรือทุพพลภาพเป็นบิดา มารดา คู่สมรส หรือบุตรของผู้มีเงินได้ จะสามารถใช้สิทธิได้ทั้ง 2 ส่วน และไม่จำกัดจำนวนคน เช่น กรณีอุปการะเลี้ยงดูบิดา หักค่าลดหย่อนได้ 30,000 บาท และบิดาเป็นผู้พิการ ก็จะได้ค่าลดหย่อนเพิ่มอีก 60,000 บาท รวมแล้วสามารถหักค่าลดหย่อนได้ 90,000 บาท หรือกรณีเป็นคู่สมรสจะหักได้ถึง 120,000 บาท เป็นต้น
      - ในกรณีที่ผู้พิการหรือทุพพลภาพ ไม่ได้เป็นบิดา มารดา คู่สมรส หรือบุตรของผู้มีเงินได้ จะสามารถใช้สิทธิได้เพียง 1 คน

 

ลดหย่อนภาษีจากเงินออม เงินลงทุน และซื้อประกัน

1.เงินสมทบกองทุนประกันสังคม
      -สามารถหักค่าลดหย่อนได้ตามจำนวนที่จ่ายจริง สูงสุดไม่เกิน 9,000 บาท จำนวนสูงสุดจะคิดที่ฐานเงินเดือน 15,000 บาท เท่านั้น

2.เบี้ยประกันชีวิต และเบี้ยประกันแบบสะสมทรัพย์
      - ประกันชีวิตลดหย่อนภาษีได้เท่ากับเบี้ยที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 100,000 บาท
กรมธรรม์ที่ทำต้องมีระยะเวลาคุ้มครองตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป
      - ต้องทำกับบริษัทประกันชีวิตที่ประกอบกิจการในประเทศไทยเท่านั้น 
      - หากคู่สมรสไม่มีรายได้ สามารถนำเบี้ยประกันของคู่สมรสมาลดหย่อนได้เพิ่มเติม และสูงสูด 10,000 บาท

3.ค่าเบี้ยประกันสุขภาพ และเบี้ยประกันอุบัติเหตุเฉพาะความคุ้มครองสุขภาพ
      หักค่าลดหย่อนตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ต้องไม่เกิน 25,000 บาท ทั้งนี้เมื่อนำเบี้ยประกันสุขภาพ ประกันชีวิตและประกันแบบสะสมทรัพย์มารวมกัน จะลดหย่อนได้สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท

4.ค่าเบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญ
      -หักค่าลดหย่อนได้ 15% ของเงินได้ ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 200,000 บาท
*กรมธรรม์ที่ทำต้องมีระยะเวลาคุ้มครองตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป
      - ต้องทำกับบริษัทประกันชีวิตที่ประกอบกิจการในประเทศไทยเท่านั้น อย่างเช่น ประกันชีวิตลดหย่อนภาษีแบบบำนาญจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา
      - ต้องมีเงื่อนไขการจ่ายผลประโยชน์เป็นรายงวดอย่างสม่ำเสมอ และต้องกำหนดช่วงอายุของการจ่ายเมื่อผู้มีเงินได้อายุตั้งแต่ 55-85 ปีขึ้นไป

5.ค่าเบี้ยประกันสุขภาพของบิดามารดา
      สามารถนำมาหักค่าลดหย่อนภาษีเท่าที่จ่ายจริง และเมื่อรวมทั้งบิดาและมารดาต้องไม่เกิน 15,000 บาท โดยที่บิดามารดาต้องมีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาท/ปี ในส่วนนี้จะไม่มีเงื่อนไขอายุของบิดามารดาที่ต้องครบ 60 ปีขึ้นไป

6.เงินสะสมกองทุน หักลดหย่อนได้ 15% ของเงินได้ ตามจำนวนที่จ่ายจริง และต้องไม่เกิน 500,000 บาท ได้แก่
      - กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD)
      - กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.)
      - กองทุนสงเคราะห์ครูโรงเรียนเอกชน
7.เงินสะสมกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.)
        นำมาหักลดหย่อนได้ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 30,000 บาท ทั้งนี้หากสนใจที่จะลงทุนใน กอช. ภายใต้เงื่อนไขดังนี้

      - ต้องมีสัญชาติไทย อายุ 15-60 ปี

      - ไม่ได้เป็นผู้ประกันตนภายใต้ระบบประกันสังคม ยกเว้นผู้ประกันตนมาตรา 40 (1)

      - ไม่ได้เป็นข้าราชการ และสมาชิก กบข., ไม่ได้เป็นสมาชิกในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD) และไม่ได้เป็นพนักงานประจำ

      - เข้าใจง่าย ๆ ว่า เป็นกองทุนสำหรับผู้ประกอบอาชีพอิสระ ซึ่งไม่ได้มีนายจ้างนั่นเอง

8.การลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF)
      เงินที่ลงทุนในกองทุนลดหย่อนภาษีอย่าง RMF (Retirement Mutual Fund) สามารถนำมาหักค่าลดหย่อนได้ตามจริง โดยจะลดหย่อนได้ไม่เกิน 30% ของรายได้ และสูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท

9.การลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการออม (SSF)
      เงินที่ซื้อกองทุนลดหย่อนภาษี SSF (Super Saving Funds) สามารถนำมาหักค่าลดหย่อนได้ตามจริง โดยจะลดหย่อนได้ไม่เกิน 30% ของรายได้ และสูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท ทั้งนี้ปัจจุบันจะให้สิทธิลดหย่อนได้ 5 ปี คือ ปี 2563-2567

10.เงินลงทุนธุรกิจวิสาหกิจเพื่อสังคม (Social Enterprise)
     หักค่าลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท โดยต้องลงทุนหรือลงหุ้นในธุรกิจที่จดทะเบียนเป็นวิสาหกิจเพื่อสังคมภายในข้อกำหนดของ พ.ร.บ. ส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม พ.ศ. 2562

 

ลดหย่อนด้วยการบริจาค

1.เงินบริจาคทั่วไป

      ลดหย่อนภาษีได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 10% ของเงินได้หลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อน

2.เงินบริจาคลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่า แต่ไม่เกิน 10% ของเงินได้หลังจากหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อน คือ

      - สถานศึกษา ทั้งของรัฐและเอกชน

      - สถานพยาบาลของรัฐ

      - การบริจาคผ่าน e-Donation ผ่านสภากาชาด, กองทุนยุติธรรม, หน่วยงานด้านกีฬาที่สังกัดสมาคมกีฬาแห่งประเทศไทย, กองทุนเพื่อการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, กองทุนสนับสนุนการวิจัยตามกฎหมาย, กองทุนเพื่อการพัฒนาระบบมาตรวิทยา, กองทุนเพื่อการพัฒนาระบบสาธารณสุขม, กองทุนพัฒนาครู คณาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษาที่กระทรวงศึกษาธิการจัดตั้ง, องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อพัฒนาเด็กเล็ก, การจัดหาหนังสือหรือสื่ออิเล็กทรอนิกส์เพื่อส่งเสริมการอ่าน ให้กับสถานศึกษาของทางราชการหรือองค์การของรัฐบาล โรงเรียนเอกชน หรือสถาบันอุดมศึกษา, โครงการฝึกอบรมอาชีพ สถานพักฟื้น บำบัด และฟื้นฟูเด็ก และเงินบริจาคให้คนพิการเพื่อการเข้าถึงสิ่งอำนวยความสะดวกสาธารณะ

3.เงินบริจาคแก่พรรคการเมือง
      สามารถนำมาหักลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง สูงสุดไม่เกิน 10,000 บาท

 

ลดหย่อนกับมาตรการช้อปดีมีคืน
       เป็นการนำค่าใช้จ่ายจากการซื้อสินค้า บริการ และการเติมน้ำมัน ระหว่างวันที่ 1 ม.ค. – 15 ก.พ. 2566 มาลดหย่อนภาษีที่จะต้องในปี 2566 สามารถใช้ลดหย่อนภาษีได้ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 40,000 บาท โดยมีรายละเอียด ดังนี้
      - ค่าซื้อสินค้า-บริการ จำนวน 30,000 บาทแรก ออกใบกำกับภาษีแบบกระดาษหรืออิเล็กทรอนิกส์
      - ค่าซื้อสินค้า-บริการ อีกจำนวน 10,000 บาท ออก ใบกำกับภาษีรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์
กรณีที่ซื้อสินค้า 40,000 บาท ไม่ได้แปลว่าจะหักภาษีได้ 40,000 บาท แต่จะลดหย่อนภาษีได้เท่าไหร่นั้นอยู่ที่ฐานภาษีของตนเอง ต้องคำนวณจากเงินได้สุทธิที่เหลืออยู่ด้วย 

 

       ทั้งหมดนี้ก็เป็นเทคนิคการลดหย่อนภาษีที่อาจช่วยลดค่าภาษีที่จพต้องยื่นให้กับทุกคนที่มีรายได้ประจำได้ ลดได้มาก ลดได้น้อย  หรือบางคนอาจไม่ต้องจ่ายภาษีเลยด้วยซ้ำหากมีสิทธิลดหย่อนภาษีตามเงื่อนไขที่กล่าวไปข้างต้น

     จ่ายภาษีประจำ หักค่าลดหย่อนไปแล้ว แต่ยังไม่มีเงินใช้  ต้องการตัวช่วย ให้มาที่ ASN Finance แก้ไขทุกปัญหาด้วยสินเชื่อรถยนต์ เพียงแค่มีรถยนต์ ก็สามารถนำมาแลกเปลี่ยนเป็นเงินก้อนได้ ไม่ต้องกังวลดอกเบี้ยแพง เพราะ ASN Finance คำนวนอัตราดอกเบี้ยคงที่ เริ่มต้นเดือนละ 0.69% รถผ่อนอยู่ก้ยื่นกู้ได้ ไม่ต้องมีคนค้ำ ไม่เช็กประวัติบูโร ส่งเอกสานครบ อนุมัติไว มีเงินทันใช้แน่นอน!

แชร์บทความนี้

บทความอื่นๆ


news

ลักษณะป้ายทะเบียนรถยนต์ ที่สามารถสมัครขอสินเชื่อทะเบียนรถยนต์ได้

ขอสินเชื่อทะเบียนรถยนต์ออนไลน์ ง่ายและรวดเร็ว รับทั้งรถเก๋ง/กระบะและรถตู้ อายุรถไม่เกิน 20 ปี จดทะเบียนส่วนบุคคล รถผ่อนอยู่ก็ขอกู้ได้ เอกสารครบ อนุมัติไว ไม่ต้องมีคนค้ำ

news

หวยเกษียณคืออะไร? สลากสะสมทรัพย์แนวใหม่ เพื่อออมเงินยามเกษียณ

ทำความรู้จัก “หวยเกษียณ” สลากออมทรัพย์รูปแบบใหม่จากภาครัฐ ที่ช่วยให้ประชาชนออมเงินยามเกษียณได้ง่ายขึ้น ลุ้นรางวัลได้ทุกสัปดาห์ พร้อมรับเงินต้นคืนครบ

news

คนละครึ่ง 2568 สนับสนุนการจับจ่าย และหาทางออกเมื่อเงินไม่ใช้พอกับ ASN Finance

 อัปเดตคนละครึ่ง 2568 เงื่อนไข ผู้มีสิทธิ วิธีลงทะเบียน และการใช้งาน พร้อมทางออกเรื่องสภาพคล่องทันทีด้วย สินเชื่อทะเบียนรถยนต์ออนไลน์จาก ASN Finance สมัครได้แม้รถยังผ่อนอยู่ เอกสารครบ อนุมัติเร็ว ไม่ต้องมีคนค้ำ ให้คุณมีเงินใช้โดยไม่ต้องจอดรถ